Tuesday, June 30, 2009

รำลึกถึง..สมเด็จย่า

รำลึกถึงพระเกียรติคุณ..สมเด็จย่า  
--------------------------------------------------------------------------------



พระราชประวัติสมเด็จย่า

สมเด็จ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 เมื่อครั้งทรงพระเยาว์  ปฏิบัติตนเช่นสามัญชนธรรมดาทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์ และหญิงพยาบาลแห่งศิริราชและทรงได้รับการคัดเลือก ให้ไปศึกษาวิชาพยาบาลต่อที่โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ในปีพ.ศ. 2463 ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ทรงเป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน

พระ มหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงมีต่อชาวไทยและประเทศชาติทั้งด้านการแพทย์ พยาบาล การสาธารณสุข และการศึกษา  ด้วยการจัดตั้งหน่วยและมูลนิธิที่สำคัญ  อาทิ หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) หน่วยแพทย์อาสาเคลื่อนที่ที่เดินทางไปในถิ่นทุรกันดาร มูลนิธิขาเทียม มูลนิธิถันยรักษ์
สมเด็จ พระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคตใน วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 สิริพระชนมายุ 95 พรรษา ท่ามกลางความเศร้าโศกของชาวไทยทั้งประเทศ 

ใน วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2543 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพครบรอบ 100 ปี องค์การวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้เฉลิมพระเกียรติยกย่องให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็น ?บุคคลสำคัญของโลก?



แม้ จะผ่านไปแล้ว 12 ปี นับจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ ?สมเด็จย่า? ของปวงชนชาวไทย แต่ความจงรักภักดีของคนไทยที่มีต่อพระองค์ท่านไม่เคยเสื่อมคลาย

ใน โอกาสวันที่ 18 กรกฎาคม เป็นวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอเนกอนันต์ ที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เพื่อพสกนิกรชาวไทยตลอดพระชนม์ชีพของ พระองค์

คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. จึงได้จัดกิจกรรมรำลึกถึงสมเด็จย่า ?อันเนื่องด้วยความกตัญญูกตเวที? โดยจัดนิทรรศการพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ รวมทั้งให้ประชาชน ทุกหมู่เหล่าได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงบำเพ็ญมาตลอดพระชนม์ชีพ เพื่อพสกนิกรชาวไทย ในระหว่างวันที่ 18-22 กรกฎาคมศกนี้ ณ ฮอลล์ ออฟ เฟม และฮอลล์ ออฟ มิเรอร์ ชั้น P ศูนย์การค้าสยามพารากอน

เนื้อหานิทรรศการแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

ส่วนที่ 1 พระราชประวัติของสมเด็จย่า โดยนำเสนอพระราชประวัติของสมเด็จย่า ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ จากสามัญชนธรรมดา จนถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตในการเป็นพระราชชนนีของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์ จักรีถึง 2 พระองค์ด้วยกัน พร้อมเนื้อหาเกี่ยวกับแนวคิด และการเลี้ยงดูให้ความอบอุ่นแก่พระโอรส และพระธิดา

ส่วนที่ 2 ความกตัญญูกตเวทีต่อบุคคล และแผ่นดินอันเป็นที่รัก นำเสนอเกี่ยวกับความกตัญญูของสมเด็จย่าที่สนองต่อผู้มีพระคุณทุกท่าน รวมถึงความกตัญญูต่อแผ่นดิน ผ่านพระราชกรณียกิจที่ทรงอุทิศพระวรกาย และเวลาในการเสด็จพระราช   ดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกัน ดารซึ่งก่อให้เกิดโครงการพัฒนาต่าง ๆ มากมาย

ส่วนที่ 3 ความกตัญญูกตเวทีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีต่อสมเด็จย่า นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับพระราชดำรัส, หลักปรัชญาที่ให้ข้อคิดในการดำเนินพระชนม์ชีพของสมเด็จย่า ซึ่งเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่มีต่อสมเด็จย่าเพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาและ นำมาเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ
 

สำ หรับไฮไลต์ในงานนั้นจัดให้มีภาพสามมิติ จำลองที่พักของสมเด็จย่า 3 แห่ง ได้แก่ เต็นท์พักแรมเมื่อครั้งสมเด็จย่าเสด็จฯทรงเยี่ยมราษฎร ในบริเวณถิ่นทุรกัน ดาร เพื่อให้เห็นถึงการทำงานเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยของ สมเด็จย่า ที่ประทับเมื่อครั้งเสด็จไปยังโลซาน และ ที่ประทับที่ดอยตุง เพื่อให้เห็นถึงความสมถะของสมเด็จย่า

และที่สำคัญคือในส่วนที่จัดทำ ?คำสอนของสมเด็จย่า? โดยการจัดพิมพ์ข้อความคำสอนของสมเด็จย่า รวมทั้งปรัชญาของนักปรัชญาชื่อดังต่าง ๆ ที่เป็นแรงบันดาลพระทัยของพระองค์ท่าน ลงในการ์ดสีแดง ให้ผู้ที่สนใจสามารถนำหยิบกลับไปเป็นของที่ระลึก เพื่อเป็นข้อเตือนใจในการจะกระทำความดีเพื่อเป็นการกตัญญู กตเวทีต่อแผ่นดิน เฉกเช่นเดียวกับที่สมเด็จย่าเคยปฏิบัติให้กับแผ่นดินของเรา อาทิ

?เราไม่ควรตัดสินคุณค่าของคนที่ความสามารถสูงสุดของเขา แต่ควรตัดสินด้วยการที่เขารู้จักใช้ความสามารถนั้น?

? ในเมื่อเราไม่มีความสงบภายใน ก็ไร้ประโยชน์ที่จะไปแสวงหาจากที่อื่น? ?การหาทรัพย์ได้นั้นเป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราได้ทรัพย์มาโดยไม่เป็นธรรมก็เป็นความเลวร้ายอย่างมหันต์? ?จงปรับตัวเราให้เข้ากับชีวิต ไม่ใช่ปรับชีวิตให้เข้ากับตัวเรา?

? ข้าพเจ้าไม่ขอรับบำนาญจากบ้านเมือง ไม่ขอรับเกียรติยศหรือเหรียญตราใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้รับการตอบแทนอย่างสมบูรณ์แล้วที่ได้มีอากาศหายใจ ซึ่งข้าพเจ้าหวังอยู่แต่ว่าจะไม่มีใครมาทำให้อากาศเสียไป? ฯลฯ



ศ. พญ.คุณหญิงสำอาง  คุรุรัตน์พันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวเฉียว สมาชิกหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) และกรรมการแพทย์ประจำพระองค์ ในขณะนั้น ได้ถ่ายทอดเรื่องราวด้วยความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่ได้ มีโอกาสถวายการรักษา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคต โดยเล่าว่า สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โปรดทรงกีฬาและทรงออกกำลังพระวรกายเป็นประจำ แม้มีพระชนมายุสูงขึ้น ก็ยังโปรดที่จะทำอะไรด้วยพระ องค์เอง

นอกจากการรักษาสุขภาพทางกาย แล้ว ทรงย้ำว่า เพื่อให้ชีวิตมีความสุข ก็ต้องหมั่นสำรวจตัวเองคือ ฝึกอบรมจิต นำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวัน ทรงสอนผู้ใกล้ชิดว่า การฝึกอบรมจิตนั้นต้องมีศีลกำกับ ด้วยการฝึกให้ประกอบแต่กรรมดี ไม่หวังสิ่งตอบแทน

รับสั่งว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโลภหลง คนส่วนมากจะเสียคนเพราะความโลภ จึงต้องตัดโลภหลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะโลภแล้วมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ต้องรู้จักพอจึงจะมีความสุข ความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นจากความสงบใจนั่นเอง

?พระองค์ท่าน คือแบบอย่างให้กับเราในการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย ประหยัด มีเหตุผล ความมีน้ำใจ เมตตากรุณาต่อบุคคลรอบข้างและเพื่อนมนุษย์ ไม่ยึดติดในลาภยศ สรรเสริญ เราคิดว่าพระองค์ท่านอยู่สูงถึงขนาดนี้ ยังยอมลำบากเพื่อผู้อื่น เพื่อส่วนรวม พระองค์ท่านยังคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ ทรงอุทิศกำลังพระวรกาย พระสติปัญญาเพื่อพสก นิกรของพระองค์ ท่านจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความสุข?
 



พระเกียรติคุณของสมเด็จย่าที่มีต่อปวงชนชาวไทยนั้นยิ่งใหญ่...เหลือคณานับ.


ขอบคุณที่มา : เดลินิวส์

0 comments:

Post a Comment

 

sanookde Copyright © 2009 Girlymagz is Designed by Bie Girl Vector by Ipietoon