Sunday, July 5, 2009

จักรวาล : อดีต ปัจจุบัน อนาคต


ความ รู้เรื่องจักรวาลของมนุษย์เปลี่ยนมาอย่างไร ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และแนวโน้มต่อไปในอนาคต? เมื่อมนุษย์ในอดีต 2,000 ปีเศษก่อน กับมนุษย์ในปัจจุบัน นึกถึงจักรวาล สิ่งที่นึกถึงก็เป็นจักรวาลเดียวกัน แต่แตกต่างกันอย่างมาก ทั้งในเรื่องโครงสร้าง ความสลับซับซ้อน และความมั่นใจในความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับจักรวาล ซึ่งสามารถสรุปเป็นภาพรวมได้ว่า...

จักรวาลในความ เข้าใจของมนุษย์ในอดีตเป็นแบบง่ายๆ แต่ในปัจจุบันจักรวาลมีโครงสร้างที่ซับซ้อนขึ้นมาก และมีแนวโน้มจะซับซ้อนมากยิ่งขึ้นอีกในอนาคต

สำหรับ ความมั่นใจความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ เกี่ยวกับจักรวาลก็เช่นเดียวกัน คือ มนุษย์ในอดีตมีความมั่นใจในความรู้ ความเข้าใจดังกล่าวนี้มากกว่าปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกำเนิดที่มาของจักรวาล

ตั้งแต่ มนุษย์ในอดีตเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับสรรพสิ่งรอบตัวม นุษย์ คำถามแรกๆ ก็คือ บรรดาดวงดาวในท้องฟ้าคืออะไร อยู่กันอย่างไร มีที่มาอย่างไร?

ความเข้าใจแรกสุดและตรงกันของมนุษย์ทั่วโลกคือ อำนาจเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำเนิดที่มาของจักรวาลว่า ถูกสร้างขึ้นมาโดยเทพเจ้า!

บันทึก เรื่องราวความเข้าใจของมนุษย์ในยุคแรกๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในซีกโลกหรือทวีปต่างๆ แตกต่างกันในรายละเอียดเกี่ยวกับพระเจ้าผู้สร้างจักร วาล แต่ความรู้เรื่องจักรวาลในอดีตที่มีบันทึกไว้ชัดเจน และมักใช้เป็นจุดเริ่มต้นการศึกษาของมนุษย์เกี่ยวกับ จักรวาล เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีเศษ โดย อริสโตเติล (322-384 ปีก่อนค.ศ.)

อริสโตเติล เป็น นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาชาวกรีก เขาเป็นนักวิชาการคนแรกของโลกที่เขียนหนังสือรวบรวมค วามรู้ความเข้าใจของ มนุษย์ในยุคสมัยของเขาอย่างละเอียดและมากที่สุด ทั้งจำนวนหนังสือที่เขียนด้านและสาขาของศาสตร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ ชีววิทยา ปรัชญา จริยศาสตร์ (Ethics) และตรรกวิทยา (Logic)

จักรวาลตามทฤษฎีความเข้าใจของอริสโตเติล มี โครงสร้างง่ายๆ คือ เป็นรูปทรงกลม มีโลกอยู่ที่ตำแหน่งศูนย์กลางของจักรวาล โดยที่โลกจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีการเคลื่อนที่ใดๆ เลย แม้แต่การหมุนรอบตัวเอง บรรดาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆ ทั้งดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ ล้วนโคจรรอบโลกเป็นวงกลม

ทำไมจักรวาลจึงมี โครงสร้างดังที่อริสโตเติลเขียนสรุปเอาไว้ คำตอบก็มาจากความเชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างจักรวาล สร้างโลก รวมทั้งมนุษย์ด้วย ในฐานะที่พระเจ้าเป็นผู้ที่มีอำนาจและมีความสมบูรณ์ใ นตัวมากที่สุด ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ก็จึงมีความลงตัว สมบูรณ์ คล้ายพระเจ้าด้วย

พระเจ้าสร้างโลกและมนุษย์ขึ้นมา และให้มนุษย์อยู่ที่ศูนย์กลางจักรวาล ก็เพื่อที่พระเจ้าจะได้ดูแลมนุษย์ได้ง่าย และแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าให้ความสำคัญกับโลกและมนุษย ์อย่างมาก

สำหรับ บรรดาดวงดาวในท้องฟ้า ถือกันว่าเป็นที่อยู่ของเทพเจ้า และจึงกำหนดให้วิถีโคจรของดวงดาวต่างๆ รอบโลกเป็นวงกลม เนื่องจากที่อยู่ของพระเจ้าก็ควรต้องมีลักษณะความสมบ ูรณ์ ไม่มีตำหนิ (วงกลมไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสุดท้าย) เช่นเดียวกับพระเจ้า นอก เหนือไปจากนั้น ทฤษฎีจักรวาลมีโลกเป็นศูนย์กลาง ก็ดูจะสอดคล้องกับประสบการณ์ประจำวันของมนุษยโลกอีกด ้วย ที่เห็นทุกสิ่งในท้องฟ้าล้วนเคลื่อนที่รอบโลก

ภาพ ของจักรวาลในอดีตที่เป็นแบบง่ายๆ คือ เป็นรูปทรงกลม มีโลกหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางของจักรวาล และองค์ประกอบจักรวาลที่เป็นแบบง่ายๆ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ คือ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ต่างๆ นั้นอยู่กับมนุษย์มานาน จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 จึงมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ ตำแหน่งของโลกและดวงอาทิตย์ในจักรวาล โดย โคเปอร์นิคัส
โคเปอร์นิคัส (ค.ศ. 1473-1543) เป็นทั้งพระคริสต์และนักวิทยาศาสตร์ ชาวโปแลนด์ ถึงแม้จะไม่ใช่คนแรกที่เสนอว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลแทนโลก แต่ก็เป็นคนแรกที่เสนอ โดยมีข้อมูลหลักฐานจากการสังเกตการเคลื่อนที่ของดวงด าวในท้องฟ้าจริงอย่างละเอียดเป็นคนแรก...

ทว่า จักรวาลของโคเปอร์นิคัสก็ยังผิดตรงที่เขายังยึดตามอร ิสโตเติลว่า จักรวาลเป็นรูปทรงกลม จึงกำหนดให้โลกและดาวเคราะห์ต่างๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลม จนกระทั่ง เคปเลอร์ (ค.ศ. 1571-1630) นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน เป็นผู้ปรับปรุงจักรวาลของโคเปอร์นิคัส โดยเปลี่ยนวิถีโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์เป็นรู ปวงรี

ในศตวรรษที่ 15 และ 16 โดย โคเปอร์นิคัส และ เคปเลอร์ วง การวิทยาศาสตร์โลกจึงมีโครงสร้างจักรวาลเป็นแบบที่ 2 ถัดจากของอริสโตเติล โดยยังเป็นแบบง่ายๆ ประกอบด้วยดวงอาทิตย์ โลก ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ และดาวฤกษ์ต่างๆ โดยมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล

โครงสร้าง จักรวาลแบบที่สองนี้อยู่กับวงการวิทยาศาสตร์โลกมานาน จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 20 โดยมีส่วนขยายเพิ่มเติมจากการใช้กล้องโทรทรรศน์ ตั้งแต่ยุคสมัยของ กาลิเลโอ (ค.ศ. 1564-1642) ส่องศึกษาอวกาศและจักรวาล และได้ภาพจักรวาลถึงประมาณต้นศตวรรษที่ 20 ว่า จักรวาลประกอบด้วยดวงดาวมากมายรวมกันเรียกเป็นกาแล็ก ซีทางช้างเผือก จนกระทั่งถึงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อ เอ็ดวิน ฮับเบิล (ค. ศ. 1889-1953) ค้นพบ (โดยกล้องโทรทรรศน์) ว่าในจักรวาลมิได้มีเพียงกาแล็กซีทางช้างเผือกเท่านั ้น หากประกอบด้วยกาแล็กซีอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเอ็ดวิน ฮับเบิล ค้นพบในปี ค.ศ. 1927 ว่า จักรวาลกำลังขยายตัว ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญสนับสนุนทฤษฎีกำเนิดจักรวาลแบบบ ิกแบง

ถึงปัจจุบัน (ค.ศ. 2009) มีแนวคิดทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับจักรวาลที่กำลังเป็นประเด ็นใหญ่ ท้าทายนักดาราศาสตร์ยุคใหม่ เช่น จักรวาลของเราอาจมิใช่เพียงจักรวาลเดียวที่มีอยู่ จักรวาลของเราอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายจักรวาล ซึ่งอาจจะดำรงอยู่คู่ขนานซ้อนกับจักรวาลของเราเป็นจำ นวนมากมาย (เรื่องของจักรวาลคู่ขนาน หรือ Parallel Universes ตามทฤษฎีควอนตัม) หรืออาจจะมีจักรวาลอื่นๆ อีก ที่เกิดขึ้นก่อน หรือหลังจักรวาลของเรา ทำให้เกิดมีคำใหม่สำหรับจักรวาลขึ้นมา คือ Multiverse แข่งกับ Universe ซึ่งเป็นคำเก่า หมายถึง เอกภพ หรือจักรวาลที่คุ้นเคยกันมา

อย่างไรก็ตาม โครงสร้างของจักรวาลที่มีใช้กันตลอดมาตั้งแต่อดีตเมื ่อหลายพันปีก่อนถึงปัจจุบัน ที่ชัดเจนจึงอาจสรุปเป็นดังนี้
(1) โครงสร้างแรกสุด (โดยอริสโตเติล) จักรวาลเป็นรูปทรงกลม มีโลกเป็นศูนย์กลาง

(2) โครงสร้างที่ 2 (โดยโคเปอร์นิคัส) จักรวาลเป็นรูปทรงกลม มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ต่อมาปรับปรุงโดยเคปเลอร์ ให้โลกและดาวเคราะห์ต่างๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี

(3) โครงสร้างที่ 3 (โดยเอ็ดวิน ฮับเบิล) จักรวาลประกอบด้วยกาแล็กซีจำนวนมากมาย และจักรวาลกำลังขยายตัวดัง นั้น ในการอ่านหรือฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพัฒนาการความรู้เ รื่องจักรวาล เมื่อได้ยินหรืออ่านพบคำ "จักรวาล" จะได้ทราบว่า หนังสือหรือผู้บรรยาย กำลังกล่าวถึงจักรวาลแบบไหน ในมิติเวลาใด!







ที่มา posttoday

............................................................

0 comments:

Post a Comment

 

sanookde Copyright © 2009 Girlymagz is Designed by Bie Girl Vector by Ipietoon